โปรแกรมทัวร์ส่วนตัว บอลข่าน (MOT006) 10 วัน 9 คืน

โปรแกรมทัวร์ส่วนตัว บอลข่าน (MOT006) 10 วัน 9 คืน


คาบสมุทรบอลข่านเป็นดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป มีพื้นที่ 550,000 ตารางกิโลเมตรและประชากรราว 53 ล้านคน ชื่อนี้มาจากเทือกเขาบอลข่านที่พาดผ่านบัลแกเรียและเซอร์เบีย

เซอร์เบีย เป็นประเทศสาธารณรัฐในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีกรุงเบลเกรดเป็นเมืองหลวง และมีพรมแดนติดกับหลายประเทศในภูมิภาคบอลข่าน เช่น ฮังการี โรมาเนีย และบัลแกเรีย

มอนเตเนโกร หรือ "ภูเขาสีดำ" เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดทะเลเอเดรียติก มีพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวง ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย และได้รับเอกราชในปี 2006

บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นประเทศที่มีภูเขามาก เมืองหลวงคือซาราเจโว และมีเมืองมอสตาร์ที่สะพาน Stari Most ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
Day 1 - ท่าอากาศยานนานาติเบลเกรด นิโคลา เทสลา เมืองเบลเกรด (Belgrade) - เบลเกรด (Belgrade)
Day 2 - สมีเดอเรโว(Smederevo) - วิมินาซิอุม (Viminacium)- โกลูบัค - เบลเกรด
Day 3 - ซาร์กาน (Sargan) - ตระเวนกราด (Drvengrad Village) - ซะลาติบอร์ (Zlatibor)
Day 4 - ซะลาติบอร์ (Zlatibor) - ยูแวค (Uvac) - อารามิเลเซวา (Serbia) - พอตกอรีตซา (Montenegro)
Day 5 - พอตกอรีตซา (Montenegro) - โรงกลั่นไวน์ 13 กรกฎาคม - ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) - บุดวา (Budva)
Day 6 - บุดวา (Budva) - กอตอร์ (Kotor) (มอนเตเนโกร) - เทรบิเนีย(Trebinje) (บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า)
Day 7 - เทรบิเนีย (Trebinje) - บลาไก (Blagai) - มอสตาร์ (Mostar)
Day 8 - มอสตาร์ (Mostar) - ซาราเจโว (Sarajevo)
Day 10 - บีฮาช (Bihac) - สตรัคคิ - จาจเซ่ (Jajce) - ซาราเจโว



Day 1 - ท่าอากาศยานนานาติเบลเกรด นิโคลา เทสลา เมืองเบลเกรด (Belgrade) - เบลเกรด (Belgrade)
รับท่านที่ท่าอากาศยานนานาติเบลเกรด นิโคลา เทสลา เมืองเบลเกรด (Belgrade) เมืองหลวงของเซอร์เบีย เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ โดยมีอารยธรรมวินชาที่เจริญรุ่งเรืองในพื้นที่นี้ แม่น้ำซาวาและดานูบไหลมาบรรจบกันที่เบลเกรด ซึ่งเป็นชัยภูมิที่สำคัญทางยุทธศาสตร์

วิหารเซนต์ซาวา (Church of St.Save) เป็นโบสถ์เซอร์เบียออร์โธดอกซ์ ตั้งอยู่ในเมืองเบลเกรดและเป็นหนึ่งในโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญซาวา ผู้ก่อตั้งเซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ โดยเชื่อกันว่าร่างของนักบุญถูกเผาในที่นี้โดยพวกออตโตมัน การก่อสร้างเริ่มในปี 1935 แต่หยุดชะงักและเริ่มใหม่ในปี 1985 ปัจจุบันการตกแต่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2020 พร้อมมีลิฟต์ให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมวิวจากฐานโดม

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ยูโกสลาเวีย(Museum of Yugoslav History) และหลุมฝังศพของนายพลติโต (House of flower) แสดงเครื่องบรรณาการจากนานาชาติ ปืน อาวุธ และเครื่องแต่งกายของนายพลติโต อดีตประธานาธิบดียูโกสลาเวีย ผู้มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้งสองครั้ง ติโตนำพายูโกสลาเวียออกจากกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอเพื่อรักษาความเป็นกลาง และดำเนินนโยบายเพื่อความเท่าเทียมของทุกชาติพันธุ์ เมื่อเขาเสียชีวิต ยูโกสลาเวียเผชิญความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง จนนำไปสู่การล่มสลายของประเทศในช่วงทศวรรษ 1990

จากนั้นไปล่องแม่น้ำชาวาและแม่น้ำดานูบ ชมบรรยากาศสองฝั่งของแม่น้ำ เส้นทางการล่องเรือ จะลอดผ่านสะพานหลายแห่ง ผ่านย่านเมืองใหม่ Belgrade Water Front ที่พึ่งถูกพัฒนาด้วยทุนมหาศาล เพื่อให้โครงการริมน้ำที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เช่นอาคาร สำนักงาน อพาร์ตเมนท์ โรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น และเรือจะล่องไปยังจุดบรรจบแม่น้ำทั้งสองสายหลัก แม่น้ำชาวาและแม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำสายย่อยอื่นๆกว่า 100 สาย ซึ่งบริเวณนี้เองถือเป็นจุดขอพรที่วิเศษที่เรียกว่า Happy Bouy ตามความเชื่อท้องถิ่นของชาวเบลเกรด มีข้อห้ามของการขอพร 2 ข้อ คือ ห้ามขอพรมากกว่า 1 อย่างและห้ามขอพรในสิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือเป็นไปไม่ได้ จากนั้นเรือจะล่องผ่านป้อมปราการเบลเกรด จุดนี้จะถ่ายรูปป้อมปราการจากมุมผ่านแม่น้ำได้อย่างสวยงาม

ป้อมปราการโบราณเบลเกรด (Belgrade Fortress) ป้อมปราการแห่งนี้เรียกกันอีกชื่อในภาษาเตอร์กิชว่า “คาเลเมกดาน” (Kalemegdan) เป็นป้อมปราการที่สำคัญให้แก่ชนกลุ่มต่างๆตลอดระยะเวลากว่าสองพันปี ถูกทำลายลงแล้วสร้างกลับขึ้นมาใหม่หลายสิบครั้ง ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้ประกอบไปด้วยป้อมปราการเก่าและในส่วนของสาธารณะคาเลเมกดาน ซึ่งภายในบริเวณป้อมปราการเก่าจะมีประตูเข้าออกหลายทาง ถ้าดูจกภายนอกจะเห็นว่าป้อมปราการถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงและหนามาก ประตูแต่ละด้านทั้งหนาทั้งใหญ่ด้วย เช่น ประตูฝั่งด้านแม่น้ำซาวา (Defter ‘s Gate) ประตูคุกในช่วงศตวรรษที่ 15 (Zindan Gate) ประตูใหญ่ที่สร้างใน ค.ศ.1750 (Inner Stambol Gate) ฯลฯ และยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งจัดแสดงรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ใช้รบในสมัยสงครามโลก หอสังเกตการณ์โบราณ และอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ หรืออีกชื่อว่า “The Victor Monument” สร้างขึ้นโดยสถาปนิก Ivan Mestrovic เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเบลเกรด เป็นต้น

ค้างคืน ที่เมืองเบลเกรด (Belgrade)



Day 2 - สมีเดอเรโว(Smederevo) - วิมินาซิอุม (Viminacium)- โกลูบัค - เบลเกรด
วันนี้ออกเดินทางสู่เมืองสมีเดอเรโว (Smederevo) ระยะทาง 55 กิโลเมตร (1 ขั่วโมง) สมีเดอเรโวเป็นเมืองในภาคตะวันออกของเซอร์เบีย สร้างขึ้นในยุคกลางและเคยเป็นเมืองหลวงช่วง ค.ศ. 1430-1439 เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม เที่ยวชมป้อมปราการสมีเดอเรโว(Smedervo Fortress)สร้างในศตวรรษที่ 15 โดย Despot Durad Brankovic ใช้เวลาเพียง 2 ปี สถาปัตยกรรมเป็นรูปสามเหลี่ยมแบบเซอร์เบียผสมไบแซนไทน์ มี 25 หอคอยและตั้งอยู่ริมแม่น้ำเยซาวาและแม่น้ำดานูบ

ช่วงบ่าย เยี่ยมชมเมืองโบราณวิมินาซิอุม ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญของเซอร์เบีย ตั้งอยู่ใกล้เมืองคอสโตแลต วิมินาซิอุมเป็นหนึ่งในเมืองโรมันที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 1-5 มีสิ่งก่อสร้างครบครันตามแบบเมืองโรมัน ต่อมาเมืองถูกทำลายหลายครั้งและบูรณะขึ้นใหม่ ในปัจจุบันได้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์โบราณจำนวนมาก เช่น กระเบื้องสีทอง หยก ประติมากรรมหินอ่อน และหลุมศพโบราณกว่า 1,400 แห่ง

จากนั้นไปชมป้อมปราการโกลูบัค ซึ่งเป็นหนึ่งในป้อมปราการยุคกลางที่สวยที่สุดในกลุ่มบอลข่าน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบ เป็นพรมแดนระหว่างเซอร์เบียและโรมาเนีย ป้อมปราการนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของหลายเชื้อชาติ เช่น บัลแกเรีย ฮังการี ออสเตรีย และออตโตมัน ภายในมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่ยุคโรมันถึงออตโตมัน ตัวป้อมมีสถาปัตยกรรมงดงาม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีหอคอย 9 แห่ง และภาพวาดเฟรสโก้เก่าแก่จากยุคกลาง

ค้างคืน ที่เมืองเบลเกรด (Belgrade)



Day 3 - ซาร์กาน (Sargan) - ตระเวนกราด (Drvengrad Village) - ซะลาติบอร์ (Zlatibor)
วันนี้ออกเดินทางสู่เมืองซาร์กาน (Sargan) เมืองเล็กๆในเขตตอนกลางฝั่งตะวันตกของประเทศ ระยะทางประมาณ 111 กิโลเมตร ผ่านภูเขาเทิกต่างๆที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้และป่าไม้ หากในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน อากาศในบริเวณนี้จะมีกลิ่นดอกไม้ต่างๆที่บานอยู่บนภูเขา ในฤดูหนาวจะมีหิมะขาวปกคลุมอยู่ตลอด

ช่วงบ่ายนำท่านขึ้นรถไฟไอน้ำ Sargan Eight Train ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟรางแคบที่มีรูปทรงเป็นเลข 8 เชื่อมต่อเส้นทางรถไฟหลักของเซอร์เบียและออสเตรีย-ฮังการี (จาก Belgrade ถึง Mokra Gora) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1925 รถไฟวิ่งผ่านระยะทาง 15 กิโลเมตร ผ่านอุโมงค์ 22 แห่ง และสะพาน 5 แห่ง รางรถไฟมีความกว้างเพียง 760 มม. (30 นิ้ว) ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในอดีต ปิดทำการในปี ค.ศ.1974 และได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1999-2003 เพื่อการท่องเที่ยว

เดินทางไปยังหมู่บ้านตระเวนกราด (Drvengrad Village) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงด้านวัฒนธรรม โดย Emir Kusturica ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเซอร์เบียเจ้าของรางวัล Palm d’Or จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "Life is a Miracle"

เดินทางไปเมืองซะลาปิตอร์ (Zlatibor) เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบนเทือกเขาไดนาริคทางตะวันตกของเซอร์เบีย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยโรงแรมและรีสอร์ท บรรยากาศเย็นสบายในฤดูร้อน และมีหิมะปกคลุมในฤดูหนาว เนื่องจากตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร

ค้างคืน ที่เมืองซะลาติบอร์ (Zlatibor)



Day 4 - ซะลาติบอร์ (Zlatibor) - ยูแวค (Uvac) - อารามิเลเซวา (Serbia) - พอตกอรีตซา (Montenegro)
วันนี้ออกเดินทางสู่เขตธรรมชาติยูแวค (Nature Reserve Uvac) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเซอร์เบีย ในภูเขาสตาริ วลา-รัสกา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,543 เฮคเตอร์ มีแม่น้ำยูแวคที่ไหลลัดเลาะคดเคี้ยวเป็นระยะทางกว่า 120 กิโลเมตร

จากนั้นไปยังจุดชมวิวยูแวค แคนยอน (Uvac Canyon) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของพื้นที่ แม่น้ำยูแวคที่คดเคี้ยวสร้างทิวทัศน์ที่สวยงามแปลกตาบนเส้นทางเทือกเขาบอลข่าน ท่านจะได้ล่องแม่น้ำยูแวคและมีโอกาสเห็นอีแล้งสีน้ำตาล (Griffon Vulture) ซึ่งเป็นสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ที่สำคัญ โดยเขตอนุรักษ์ธรรมชาติยูแวคมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง ทำให้เป็นแหล่งอาศัยหลักของอีแร้งสีน้ำตาลในโลก

ในช่วงบ่าย เดินทางประมาณ 45 กิโลเมตร (ประมาณ 1 ชั่วโมง) เพื่อไปยังอารามมิเลเซวา (Mileseva Monastery) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ภายในมีภาพวาดปูนเปียกที่มีชื่อเสียง “White Angel” หนึ่งในผลงานศิลปะยุโรปที่สวยงามที่สุดในยุคกลางที่ยังคงสมบูรณ์ จากนั้นเดินทางไปยังด่านพรมแดนระหว่างประเทศเพื่อตรวจคนเข้าออกและข้ามไปยังประเทศมอนเตรเนโก (Montenegro) หลังจากผ่านพิธีการ ตรวจคนเข้าออกเรียบร้อยแล้ว เดินทางสู่เมืองพอตกอรีตซา (Podgorica) เมืองหลวงของมอนเตเนโก ชื่อ “พอตกอรีตซา” หมายถึง “ใต้กอรีตซา” ซึ่งเป็นชื่อภูเขาลูกเล็กที่มองเห็นเมืองนี้ ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างเทือกเขาไดนาริกแอลป์ (Dinaric Alps) และทะเลสาบสกูดารี่ (Lake Scutari) โดยมีการชมอนุสาวรีย์กษัตริย์นิโคลา (Monument of King Nikola) และจัตุรัสรีพับริค (Republic Square) ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าในเมืองหลวงขนาดเล็กนี้ด้วย

ค้างคืน ที่เมืองพอตกอรีตซา (Montenegro)



Day 5 - พอตกอรีตซา (Montenegro) - โรงกลั่นไวน์ 13 กรกฎาคม - ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) - บุดวา (Budva)
วันนี้ออกเดินทางไปชมโรงกลั่นไวน์ 13 กรกฎาคม ซึ่งตั้งอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่บนเนินเขา Chechanic ที่ใช้เก็บไวน์ชั้นดีที่มีชื่อเสียงในมอนเตรเนโก ในอดีตเคยใช้เป็นที่เก็บเครื่องบินรบในสมัยยูโกสลาเวีย โดยมีเครื่องบินมากกว่า 27 ลำ ปัจจุบันบริษัท Plantae ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลมอนเตรเนโกและเอกชน ได้เปลี่ยนพื้นที่นี้เป็นคลังเก็บไวน์ขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์ “VRANAC” ซึ่งผลิตจากองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นที่มีคุณภาพ ทำให้ไวน์ทั้งขาวและแดงมีชื่อเสียงมาก บริเวณรอบๆ โรงงานมีไร่องุ่นขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรบอลข่าน ทานสามารถทดลองชิมไวน์ (Wine Tasting) และเลือกซื้อไวน์ต่างๆ ได้ตามต้องการ

เดินทางสู่ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรบอลข่าน ตั้งอยู่ในหุบเขาซีดา สกาดาร์ ห่างจากทะเลเอเดรียติก 7 กิโลเมตร โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 370 ตารางกิโลเมตร สองในสามของทะเลสาบอยู่ในประเทศมอนเตเนโก แนวชายฝั่งมีความสวยงาม โดยเฉพาะทางเหนือและทางตะวันตก ทะเลสาบนี้มีชื่อเสียงด้านความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์น้ำ เป็นเขตอนุรักษ์นกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของกระทุงดัลเมเชีย (Dalmatian Pelican) ที่ใกล้สูญพันธุ์ พร้อมทั้งเป็นที่พักของนกอพยพจากยุโรปเหนือไปยังแอฟริกา ทะเลสาบแห่งนี้มีนกมากกว่า 280 สายพันธุ์ ทำให้การดูนกเป็นกิจกรรมสำคัญที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่เหมาะที่สุดสำหรับการชม

เดินทางสู่เมืองบุดวา (Budva) ระยะทาง 65 กิโลเมตร (ประมาณ 1.20 ชั่วโมง) เมืองโบราณที่มีอายุยาวนานถึง 2,500 ปี ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลอาเดรียติก ได้รับฉายาว่า “ริเวียร่าแห่งมอนเตเนโกร” ก่อนถึงเมืองบุดวา แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวเกาะสเวตติ สเตฟาน (Sveti Stefan Island) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวในมอนเตเนโกร ในอดีตเคยเป็นป้อมปราการโจรสลัด แต่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมหรูที่ยังคงรักษาความสง่างามจากประวัติศาสตร์ เกาะนี้เป็นส่วนบุคคลไม่อนุญาตให้เข้าถึงจากสาธารณะ โดยจุดชมวิวนี้ยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลอาเดรียติกและตัวเมืองบุดวาได้อีกด้

ออกไปชมเมืองเก่าบุดวา (Budva Old Town) ซึ่งยังคงรักษาสถาปัตยกรรมยุโรปยุคกลางไว้อย่างดี ภายในเมืองเก่ามีจัตุรัสขนาดเล็กและใหญ่หลายแห่ง เชื่อมต่อด้วยถนนแคบๆ สำหรับคนเดิน บ้านเรือนในเขตนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านค้าของที่ระลึก ร้านอาหาร และร้านกาแฟ เดินชมจตุรัสต่างๆ เช่น จัตุรัสโบสถ์ (Church Square) ซึ่งเดิมเคยเป็นจัตุรัสขายเกลือ (Salt Square) ที่ตั้งของโบสถ์เก่าแก่หลายแห่ง เช่น โบสถ์เซ็นต์อิวาน (Church of St.Ivan) โบสถ์ซานต้า มาเรีย (Santa Maria in Punta) และโบสถ์เซ็นต์จอห์น (Church of St.John) โดยโบสถ์เซ็นต์จอห์นมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงศตวรรษที่ 7 และเป็นที่ประดิษฐานของภาพไอคอนศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีที่เรียกว่า Madonna in Punta หรือ Madonna of Budva

ค้างคืน ที่เมืองบุดวา (Budva)



Day 6 - บุดวา (Budva) - กอตอร์ (Kotor) (มอนเตเนโกร) - เทรบิเนีย(Trebinje) (บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า)
วันนี้เราออกเดินทางสู่เมืองกอตอร์ (Kotor) ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปเพียง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เมืองนี้ตั้งอยู่ริมอ่าวกอตอร์ที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลในอดีต และยังคงเป็นจุดแวะพักของเรือสำราญขนาดใหญ่ในทะเลอาเดรียติก ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเยือนทางเรือทุกปี

เราจะได้สัมผัสความงดงามของเมืองกอตอร์ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงที่แบ่งออกเป็นสองส่วน คือเมืองเก่าและเมืองใหม่ โดยเฉพาะเมืองเก่ากอตอร์ (Kotor Old Town) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีตามแบบฉบับเมืองในยุคกลาง และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางประวัติศาสตร์จากยูเนสโก (UNESCO) กำแพงเมืองนี้สร้างขึ้นโดยชาวเวนิส และสถาปัตยกรรมในเมืองส่วนใหญ่ยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเวนิส เมืองนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐเวเนเซียเกือบ 400 ปี

ในเมืองเก่ากอตอร์ มีจัตุรัสเล็กใหญ่หลายแห่ง พระราชวังเก่า หอนาฬิกา และคฤหาสน์ขุนนางที่ปัจจุบันได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรมบูติค ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมาย ทำให้เมืองกอตอร์เต็มไปด้วยเสน่ห์และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้สำรวจ

เที่ยวชมโบสถ์เซ็นต์ไทรฟอน (Cathedal of St. Tryphon) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิกเพียงแห่งเดียวในเมืองกอตอร์ สร้างปี ค.ศ.1166 โดยชื่อโบสถ์ตั้งตามชื่อของนักบุญไทรฟอน ซึ่งเป็นนักบุญผู้ปกครองเมืองนี้

หลังจากนั้นเราจะได้ล่องเรือในอ่าวกอตอร์ (Kotor Bay) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เช่นเดียวกับเขตเมืองเก่ากอตอร์ เรือจะพาเราไปชมวิวรอบๆ อ่าว พร้อมกับมองเห็นทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่

ระหว่างการล่องเรือ เราจะมีโอกาสแวะขึ้นไปยังเกาะเล็กๆ ที่มีตำนานว่าถูกสร้างโดยฝีมือมนุษย์จากความศรัทธาของชาวบ้านต่อพระแม่มารี บนเกาะนี้ตั้งอยู่โบสถ์ Lady of The Rock Church ซึ่งมีหินศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถืออยู่ด้านหลังแท่นบูชาหลัก ภายในโบสถ์มีผนังที่ตกแต่งด้วยแผ่นเงินแกะสลักในรูปต่างๆ เช่น อวัยวะของร่างกาย ซึ่งชาวบ้านมักนำมาถวายเพื่อขอพรให้หายจากอาการเจ็บป่วยในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ในช่วงบ่าย เราเดินทางไปยังพรมแดนระหว่างประเทศเพื่อข้ามจากมอนเตเนโกรไปยังบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เรามุ่งหน้าไปยังเมืองเทรบิเนีย (Trebinje) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเฮอร์เซโกวีน่า ระยะทางประมาณ 85 กิโลเมตร (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)

เทรบิเนียเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเทรบิเนียซ่า ชาวเมืองได้สร้างบ้านเรือนตามริมฝั่งแม่น้ำ และมีสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย รวมถึงสะพานหินในยุคออตโตมันที่สวยงาม เมืองเก่าของเทรบิเนีย (Trebinje Old Town) ยังรักษาอาคารสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้อย่างดี จัดว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเขตเฮอร์เซโกวิน่าตะวันออก

ค้างคืน ที่เมืองเทรบิเนีย (Trebinje)



Day 7 - เทรบิเนีย (Trebinje) - บลาไก (Blagai) - มอสตาร์ (Mostar)
ออกเดินทางไปยังเมืองมอสตาร์ โดยแวะเที่ยวชมหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า บลาไก (Blagaj) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองมอสตาร์ หมู่บ้านนี้มีแม่น้ำบูน่า (Buna River) ไหลผ่าน น้ำในแม่น้ำมีสีเขียวมรกตและใสสะท้อนเงาทุกอย่างอย่างชัดเจน ต้นน้ำไหลออกมาจากถ้ำในภูเขาและลงสู่แม่น้ำบูน่า

ในบริเวณใกล้ปากถ้ำ มีบ้านเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรออตโตมันประมาณปี ค.ศ. 1520 และได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1851 ปัจจุบันบ้านนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ชื่อว่า “บลาไก เดคเก้” (Blagaj Tekke) ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับมังกรที่เคยสังเวยหญิงสาวทุกปี จนมีผู้กล้าสามารถฆ่ามังกรตัวนั้นได้ ภายในพิพิธภัณฑ์มีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ฆ่ามังกรเก็บรักษาอยู่ด้วย

ในช่วงบ่ายเราเดินทางสู่เมืองมอสตาร์ (Mostar) ซึ่งเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรม เมืองนี้เคยประสบเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ในช่วงสงครามระหว่างเซิร์บกับโครแอต มอสตาร์เป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ของบอสเนีย ตั้งอยู่บนแม่น้ำเนเรทวา (Neretva) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพรมแดนกั้นวัฒนธรรมของสองท้องถิ่น

ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมีศาสนาอิสลาม ประกอบด้วยสุเหร่าและบ้านเรือนแบบตุรกี ขณะที่ฝั่งตะวันตกเป็นศาสนาคริสต์คาทอลิก มีโบสถ์และที่อยู่ของนักบวช ปัจจุบันมอสตาร์เป็นเมืองที่สวยงามและโด่งดังในบอสเนีย คำว่า "มอสตาร์" มาจากคำว่า "Mostan" หมายถึง "ผู้ดูแลสะพาน" ซึ่งสะพานที่สำคัญคือสะพานหินโบราณ (Stari Most) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2005 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง

ค้างคืน ที่เมืองมอสตาร์ (Mostar)



Day 8 - มอสตาร์ (Mostar) - ซาราเจโว (Sarajevo)
วันนี้เราออกเดินทางสู่เมืองคอนจิก (Konjic) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเฮอร์โกวีน่า ประเทศบอสเนีย ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระยะทาง 70 กิโลเมตร คอนจิกตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีภูเขาและธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ ป่าไม้ ทะเลสาบ และสายน้ำ โดยแม่น้ำเนเรทวา (Neretva) เป็นแม่น้ำหลักที่ไหลผ่านเมืองนี้ ซึ่งเป็นสายเดียวกับที่ไหลผ่านมอสตาร์ ด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ คอนจิกจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และผจญภัย นักท่องเที่ยวนิยมทำกิจกรรมเดินป่าและล่องแก่งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม นอกจากนี้ เมืองคอนจิกยังมีความสำคัญในด้านอุตสาหกรรม โดยเคยเป็นศูนย์ผลิตอาวุธในสมัยที่เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐยูโกสลาเวียอีกด้วย

จากนั้นไปชมบังเกอร์ขนาดใหญ่ "Tito’s Bunker" ในเมืองคอนจิก สร้างขึ้นใต้ดินและถูกเก็บเป็นความลับกว่า 50 ปี เป็นศูนย์บัญชาการสงครามปรมาณูที่สามารถรองรับผู้นำและครอบครัว รวมถึงบุคลากรสำคัญของยูโกสลาเวียได้ถึง 350 คน พร้อมเสบียงเพียงพอสำหรับ 6 เดือน ใช้เวลาสร้างนานถึง 26 ปี (1953-1979)

บ่ายเดินทางสู่เมืองซาราเจโว (Sarajevo) เมืองหลวงของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคจักรวรรดิออตโตมัน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ เฟอร์ดินานด์ในปี 1914 ซึ่งเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 เมืองยังเป็นที่จดจำจากการถูกปิดล้อมในช่วงสงครามบอสเนีย ปัจจุบันซาราเจโวเป็นเมืองที่ปลอดภัยและได้รับการขนานนามว่า "เยรูซาเลมแห่งคาบสมุทรบอลข่าน"

จากนั้น ไปเที่ยวย่านเมืองเก่าซาราเจโก แบบ Walking Tour เดินชมสถานที่ต่างๆโดยส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงจักรวรรดิ์ออตโตมันราวคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ดังนี้
- ศาลาว่าการเมืองและอาคารเก่าทีมีชื่อเรียกว่า Split House
- โบสถ์ยิวเก่า (Old Synagogue)
- น้ำพุล้อมไม้ฉลุใจกลางจัตุรัสบัสกาซิจา (Bascarsila Square or Pigeon Square)
- ที่พักนักเดินทางในสมัยโบราณที่เรียกว่า Han
- มัสยิดแห่งกษัตริย์ (The Emperors Mosque) เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1457
- สะพานลาดิน (The Latin Bridge) จุดเกิดเหตุของการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก ฟรันซ์ เฟอร์ดีนันด์
- ย่านตลาดการค้าโบราณที่มีชื่อว่า Ghazi Husrev Bey’s Bazaar or Old Bezistan และในบริเวณใกล้กันมีมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบอสเนียและเป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ตัวแทนสำคัญของจักรพรรดิ์ออตโตมันในแถบคาบสมุทรบอลข่านที่มีชื่อว่า Ghazi Husrev Bey’s Mosque
- ถนนการค้าโบราณ จำหน่ายขายสินค้าจำพวกเครื่องทองแดงที่มีชื่อว่า Kazandziluk street และถนนการค้าที่เป็นแหล่งของช่างทำกุญแจที่มีชื่อว่า Bravadziluk street เมื่อท่านเดินเข้าไปตามถนนดังกล่าวแล้วจะรู้สึกว่าได้เดินเท้าอยู่ในเส้นทางเก่าย้อนยุคกลับไปในอดีตราวคริสต์วรรษที่ 16 เลยทีเดียว
- อุโมงค์หลบภัยซาราเจโว (Sarajevo Tunnel)
ค้างคืน ที่เมืองซาราเจโว (Sarajevo)



Day 9 - ซาราเจโว (Sarajevo) - ทราฟนิค (Travnik) - บีฮาช (Bihac)
ออกเดินทางเมืองทราฟนิค ระยะทาง 90 กิโลเมตร (ประมาณ 1.40 ชั่วโมง) เมืองทราฟนิค (Travnik) อดีตเมืองหลวงของออตโตมันแห่งบอสเนียตอนกลาง (Centarl Bosnia Canton) ตั้งในเขตหุบเขาลาสว่า โดยมีแม่น้ำลาสว่า (Lasva River) ไหลผ่านเมืองมีภูเขาล้อมรอบ แล้วไปชมป้อมปราการทราฟนิค (Travnik Fortress) เพื่อชมวิวเมืองกว้างในจุดที่สูงแบบรอบตัว 360 องศา จากนั้นเดินชมเมืองเก่าทราฟนิค ที่มีอาคารเก่าแก่สมัยออตโตมันที่ยังคงสภาพสวยงามมากมาย เนื่องจากเมืองนี้ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงช้าเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆของบอสเนีย เมืองนี้จึงถูกเรียกว่า “อิสตันบูลแห่งยุโรป” และยังเป็นบ้านเกิดของนักเขียนรางวัลโนเบล Ivo Andric ผู้ประพันธ์นวนิยายคลาสสิคของบอสเนีย ปัจจุบันเมืองยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับ “ชีสแกะ” ที่มีรสชาติดีที่สุดของประเทศ

บ่ายเดินทางสู่เมืองบีฮาช ระยะทาง 220 กิโลเมตร (ประมาณ 3.30 ชั่วโมง) เมืองบีฮาช (Bihac) เป็นเมืองในจังหวัดอูนา-ซานา (Una-Sana Canton) ประเทศบอสเนียและเฮอร์ดซโกวีนา ตั้งอยู่บนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ บนฝั่งแม่น้ำอูนา ใกล้ชายแดนประเทศโครเอเชีย ซึ่งเคยอย่ใต้การปกครองของประทศตุรกีจนถึง ค.ศ.1878

ค้างคืน ที่เมืองบีฮาช (Bihac)



Day 10 - บีฮาช (Bihac) - สตรัคคิ - จาจเซ่ (Jajce) - ซาราเจโว
ออกเดินทางไปอุทยานแห่งชาติอูนา Una National Park)ตั้งอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 35 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 มีน้ำตกที่สวยงามและเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เดินป่า ล่องแก่ง และแค้มป์ปิ้ง ก่อนถึงอุทยาน จะพบหมู่บ้านโอวาแชค (Orasac Village) ที่มีซากปรักหักพังจากคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 และเมื่อเข้าสู่อุทยานจะมีน้ำตกสตรัคคิ บุค (Strbacki Buk) สูง 25 เมตร พร้อมทางเดินไม้ชมวิวใกล้ชิด

บ่ายเดินทางต่อไปยังเมืองจาจเซ่ (Jajce) ซึ่งเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรบอสเนีย แวะชมน้ำตกพลิวา (Pliva Waterfall) ขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 22 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำพลิวาและแม่น้ำวรีบาส

เดินทางสู่เมืองซาราเจโว ระยะทาง 160 กิโลเมตร (ประมาณ 2.45 ชั่วโมง) เพื่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติซาราเจโว กลับสู่ประเทศไทย

 

 

ราคา

 

ค่ารถตู้พร้อมคนขับ ราคาเริ่มต้นวันละ 35,000 บาท 

 

ราคารวม

 

1. ค่ารถตู้พร้อมคนขับ (ราคารวมค่าน้ำมัน ทางด่วน โรงแรมและอาหารของคนขับแล้ว)

 

2. ค่าประกันการเดินทางแบบกลุ่ม ตามกฏหมายกำหนด คุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ 

 

ราคาไม่รวม

 

  1. โรงแรมของท่าน
  2. ที่จอดรถ จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเลือกเที่ยวจริง
  3. กรณีรถโค้ช ราคาไม่รวม City permit จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเที่ยวจริง, หากมีเอารถลงเรือ Ferry จ่ายเองหน้างานตามจริง
  4. ทิปคนขับ ตามพอใจ แนะนำ วันละ 40 ยูโร/คณะ
  5. อื่น ๆ ที่ไม่เขียนว่ารวม เช่น อาหารเที่ยงและเย็น ค่ายกกระเป๋า ณ โรงแรมที่พัก ค่าวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ตั๋วท่องเที่ยว จ่ายหน้างานเองตามจริง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และหัก ณ ที่จ่าย 3%
  6. หากต้องการหัวหน้าทัวร์ จ่ายเพิ่มวันละ 16,500 บาท ราคารวมโรงแรมและอาหารหัวหน้าทัวร์แล้ว 

 

การจ่ายเงิน

 

  • งวด 1 มัดจำ คณะละ 5,350 บาท สามารถจองผ่านบัตรเครดิต ผ่านหน้าระบบเวบไซต์ได้เลย จากนั้นเราจะออกใบจองทัวร์คอนเฟิร์มให้ท่าน (หากทริปไม่คอนเฟิร์ม จะคืนเงินให้ 100% ภายใน 7 วัน)
  • งวดที่ 2 ท่านละ 5,000 บาท ภายใน 7 วัน หลังจากได้รับการคอนเฟิร์มแล้ว (ยกเลิกทริปไม่คืน)
  • งาดที่ 3 ท่านละ 25,000 หลังจากวีซ่าผ่านแล้ว หรือ/และก่อนเดินทาง ไม่น้อยกว่า 30 วัน (ยกเลิกทริปไม่คืน)
  • งวดที่ 4 ท่านละ ที่เหลือ วันที่ 2 ของทริป หลังจากเราไปรับท่านแล้ว (ยกเลิกทริปไม่คืน)