5 สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปญี่ปุ่นในปี 2020
ถ้าพูดถึงประเทศสุดฮิตตลอดการของนักท่องเที่ยวชาวไทย คงหนีไม่พ้นประเทศ “ญี่ปุ่น” ซึ่งมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น เฉลี่ยถึงเดือนละ 1 แสนคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศ การเดินทางสะดวกสบาย อาหารอร่อย ช้อปสนุก ที่ถ่ายรูปเพียบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักท่องเที่ยวสายไหน ก็มีให้คุณเลือกเที่ยวได้แบบครบรส วันนี้ See you again จะมาบอกถึง 5 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น ตามไปชมกันเลยครับ
1 ควรรู้ก่อนว่าตัวเองอยากทำอะไรในญี่ปุ่น
ทำไมถึงต้องรู้ก่อนว่าตัวเองอยากทำอะไร ก็เพราะว่าจะได้เป็นแนวทางในการวางแพลนเที่ยวได้ตรงตามความต้องการของตัวเองมากที่สุด เพื่อที่จะได้ระบุช่วงเวลาที่จะเดินทางและเมืองที่จะไปได้
เช่น อยากเจอหิมะ เพื่อนๆก็ต้องเดินทางในช่วง เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ และเมืองที่จะไปก็อาจจะเป็น ซัปโปโร เพื่อนๆจะได้พบกับหิมะหนาเหมือนบิงซู เต็มทั่วทั้งเมือง และสกีรีสอร์ทก็พร้อมใจกันเปิดหมดแล้วในฤดูหนาว , อยากชมใบไม้เปลี่ยนสี เพื่อนๆก็ต้องเดินทางใน เดือนกันยายน - พฤศจิกายน เมืองที่เพื่อนๆจะชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างสวยงาม ได้แก่ นิกโก้ เกียวโต บริเวณภูเขาไฟฟูจิที่คาวากุชิโกะ
และ ถ้าเพื่อนๆอยากร่วมงานดอกไม้ไฟประจำปี จะต้องเดินทางในฤดูร้อน ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม งานดอกไม้ไฟที่น่าสนใจ ได้แก่ เทศกาลดอกไม้ไฟนางาโอกะ , เทศกาลดอกไม้ไฟแม่น้ำสุมิดะ และเทศกาลดอกไม้ไฟที่ปราสาทโอคาซากิ (ก่อนไปอย่าลืมเช็ควันที่จัดงานในแต่ละปีด้วยนะครับ)
2 ควรรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและมารยาทของประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เคร่งเรื่องมารยาท และการเคารพสิทธิของกันและกันเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ของสังคมญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ หากเพื่อนๆมีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ควรมองข้ามเรื่องมารยาทเล็กๆน้อยๆนี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นที่แปลกหูแปลกตาเวลาไปไหนมาไหน
มารยาทและวัฒนธรรมหลักๆที่ควรรู้ ได้แก่ งดการพูดคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะโดยสารขนส่งสาธารณะ , อย่าเดินทานอาหาร ให้ซื้อและทานให้หมดก่อนค่อยเดินไปต่อ , คันโตชิดซ้าย คันไซชิดขวา ก็คือการ การขึ้นลงบันไดเลื่อนนั้นเอง อยู่แถบไหนก็ยืนให้ถูกกันนะครับ , เมื่อใช้ห้องน้ำ ให้ทิ้งทิขชชู่ลงชักโครกเลย ไม่ต้องทิ้งลงถังขยะ , เวลาทิ้งขยะ ให้แยกประเภท , เวลาจ่ายเงินให้วางใส่ถาดเสมอ , ห้ามให้ทิป ที่ญี่ปุ่นไม่มีวัฒนธรรมการทิป , ห้ามรัดคิวต่อให้คิวจะยาวแค่ไหนก็ต้องต่อคิว
และยังมีอีกมากมาย แต่ถ้าเพื่อนๆทำตามกฎที่บอกมาข้างต้นได้ ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างมีความสุขแล้วครับ
3 ควรรู้ว่าเที่ยวญี่ปุ่นอาจต้องกักตุนอาหารไว้ทานยามดึก
ทำไมเที่ยวญี่ปุ่นถึงต้องกักตุนอาหารไว้ทานยามดึก ก็เพราะว่าตั้งแต่ปี 2020 ร้านสะดวกซื้อจะไม่เปิด 24 ชั่วโมงแล้ว (ในบางพื้นที่) เพราะปัญหาด้านแรงงานขาดแคลนของประเทศญี่ปุ่น นโยบายใหม่นี้จะครอบคลุมร้านค้าบางสาขาของ “เเฟมิลี่มาร์ท” ถึง 10,000 กว่าสาขา ทั่วประเทศ
และทาง “ลอว์สัน” อีกหนึ่งผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่น ก็ได้ทดลองระบบใหม่นี้ กับ 100 สาขาทั่วประเทศแล้ว แต่ถ้าเพื่อนๆคนใดกังวลกับความหิวในยามดึกของท่าน ยังมีร้านอาหาร ที่ยังไม่ออกนโยบายยกเลิกการให้บริการ 24 ชั่วโมงอยู่ ได้แก่ MATSUYA , SUKIYA , YOSHINOYA , Jonathan’s , ISOMARU SUISAN (มันปูอร่อยม้ากก)
นี่แนะ แปะภาพซะเลย
4 ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมในการท่องเที่ยว
ทำไมถึงต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยว ? เพราะการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง การเดินทางส่วนใหญ่ต้องใช้การเดินทางโดยรถไฟฟ้า และสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก จึงทำให้การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นจำเป็นต้องเดินซะส่วนใหญ่ และการเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันประเทศญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ , ฤดูร้อน , ฤดูใบไม้ร่วง , ฤดูหนาว ซึ่งในแต่ละฤดูมีความสวยงามและเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันไป ซึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ช่วงเวลาในแต่ละฤดู
ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 13-25 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน มิถุนายน-สิงหาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20-35 องศาเซลเซียส
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 15 - 27 องศาเซลเซียส
ฤดูหนาว ธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 5 - 0 องศาเซลเซียส
5 ควรรู้ว่าทุกครั้งที่ช้อปอย่าลืมขอคืนภาษี
ไม่ว่าจะไปร้านค้าไหนของญี่ปุ่นเพื่อนๆก็จะเห็น คำว่า “Tax Free” ของหวานของนักช้อปหลายท่าน นั้นก็เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นมีร้านที่ขายสินค้าปลอดภาษีไว้รองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่มากมาย Tax Refund ที่เราจะได้รับคืน ได้ถึง 8% ก็ประมาณราเมงซักชามได้อยู่น้า
ขั้นตอนการขอ Tax Refund ก็ง่ายนิดเดียว
ขั้นตอนที่ 1 ให้เพื่อนๆหาสัญลักษณ์นี้ ถ้าร้านค้าไหนมีก็แปลว่าสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อมั่นใจแล้วว่าร้านค้านั้นมีสัญญาลักษณ์ Tax-free Shop พุ่งเลยครับ ช้อปให้จนพอใจ แต่ในคณะที่เพื่อนๆเลือกซื้อสินค้า แนะนำให้คำนวณราคาสินค้าทั้งหมดไปด้วย เพราะจะต้องมีการซื้อสิ้นค้าให้ครบจำนวนที่ร้านค้ากำหนดเท่านั้น เพื่อนๆถึงจะได้รับการคืนภาษี อาจจะ 3000 เยน , 5000 เยน หรือ 10,000 เยนขึ้นไป แล้วแต่ร้านค้า
ขั้นตอนที่ 3 มองหา Tax free counter หรือ เคาเตอร์สำหรับคืนภาษี จากนั้นให้เพื่อนๆแสดงพาสปอร์ตและใบเสร็จสินค้า และทางร้านจะจัดการทุกอย่างให้เราเอง
ขั้นตอนที่ 4 พนักงานจะกรอกข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่เราซื้อลงไปในใบ “บันทึกรายการสินค้าปลอดภาษีอากร” จากนั้นจะทำการติดลงไปในพาสปอร์ตของเรา เมื่อเราช้อปหลายๆร้าน ใบเสร็จและใบขอคืนภาษีก็จะเริ่มเยอะขึ้นๆ แต่ขอแนะนำว่าให้เพื่อนๆอย่าเพิ่งแกะออกจนกว่าจะถึงไทยเป็นอันดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 และในบางร้านค้าจะทำการใส่ถุงปิดผนึกสินค้าของเราให้ด้วย เท่านั้นก็เป็นการเสร็จขั้นตอนการขอคืน Tax Refund เป็นอันที่เรียบร้อย ง่ายขนาดนี้ ก็ได้เวลาปล่อยให้เงินในกระเป๋าของเราได้ออกไปโบยบิน
จุดจบสายช้อป
จากขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาดูไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ ปล.ขอให้เพื่อนๆท่องเที่ยวและช้อปปิงกันอย่างมีความสุขนะครับ อ่ะๆ อย่าลืมนะครับ ทำการขอคืนภาษีให้เสร็จสิ้นที่ร้านค้าที่เราซื้อของให้เรียบร้อยเลยนะครับ เพราะที่สนามบินญี่ปุ่นไม่สามารถทำการคืนภาษีของสินค้าที่ซื้อนอกสนามบินได้นะครับ ขอเตือน